เด็กชาย เหมวิช วาฤทธิ์ หรือน้องฮับ หนุ่มน้อยชาวเชียงใหม่อายุเพียง 13 ปี นักเรียนโรงเรียนวารีเชียงใหม่อินเตอร์เนชั่นแนล โชว์ความสามารถสุดเจ๋ง สามารถทะลุเข้ารอบตัดสิน 20 คนสุดท้าย Google Science Fair จากสิ่งประดิษฐ์ เครื่องช่วยฟังสำหรับผู้พิการทางหู โดดเด่นจากสิ่งประดิษฐ์ของเด็กอื่น ๆ ทั่วโลกที่เข้าร่วมแข่งขัน
cm108.com ได้สัมภาษณ์น้องฮับ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้อยู่ในสภาวะสื่อสารด้วยการพูดคุยไม่ได้ กว่า 422 ล้านคนทั่วโลก
น้องฮับจึงคิดถึงประเด็นนี้และอยากช่วยเหลือ จึงคิดสิ่งประดิษฐ์นี้ขึ้น หลังจากที่ครูบอกว่ามีโครงการ Google Science Fair จากการที่น้องฮับทดสอบสิ่งประดิษฐ์กับผู้มีปัญหาทางการได้ยินที่โรงเรียนโสตศึกษาและพัฒนาข้อบกพร่องมาเรื่อย ๆ หลังจากใส่อุปกรณ์เครื่องช่วยฟังประมาณ 20 คน เมื่อเขาได้ยิน เขาก็มีความกล้าที่จะทดลองเปล่งงเสียง และก็ได้ยินเสียงที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ จำนวนเด็กไทยที่เข้าแข่งขันจนถึงรอบ 100 คนสุดท้ายมีเพียง 2 คนที่เป็นคนไทย และน้องฮับอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยเข้าแข่งขันและเป็นเด็กไทยคนแรกที่เข้าถึงรอบ 20 คนสุดท้ายไปสู่รอบตัดสินในเดือน ก.ค.นี้
นางนิชาพร วาฤทธิ์ แม่ของน้องฮับ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าเด็กคนไทยทุกคนเก่ง และทำได้เหมือนน้องฮับ อยากให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระตุ้นให้เด็กเกิดพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีที่มากขึ้น ส่งเสริมเด็กไทยตั้งแต่อายุยังน้อย และเปิดเวทีให้กับเด็กได้กล้าแสดงออกมากขึ้น จะกลายเป็นแรงผลักดันในด้านความรู้ที่จะเข้าแข่งขันกับต่างประเทศไทย และอยากขอแรงเชียร์จากคนไทย ช่วยเชียร์น้องฮับในการแข่งรอบสุดท้าย เพราะถือเป็นเด็กไทยคนแรกที่เคยเข้าแข่งในรอบตัดสินของ Google Science Fair และอายุน้อยที่สุด ก็อยากขอแรงเชียร์จากพี่น้องในประเทศไทยด้วย
อัญ ท้ายนาวา เน็ตไอดอลสาว รมควันฆ่าตัวตายในรถ เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.) มีรายงานว่า เน็ตไอดอลสาว อัญ ท้ายนาวา ซึ่งเป็นศิลปินและผู้ดำเนินรายการในสังกัดของบริษัท เลิฟ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ได้รมควันตัวเองในรถฆ่าตัวตายที่บ้านในจ.ลำพูน โดยในที่เกิดเหตุพบเตาอั้งโล่มีถ่านหินติดไฟตั้งอยู่ในรถนิสสัน มาร์ช สีชมพูที่เน็ตไอดอลสาวใช้จบชีวิต โดยญาติผู้ตายคาดว่า สาเหตุที่ทำให้คิดฆ่าตัวตายนั้นน่าจะมาจากข่าวลักมือถือกลางห้างกาดสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ ประกอบกับเจ้าตัวเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อนแล้ว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีข่าวการสลับมือถือ iPhone เครื่องปลอมกับของแท้ภายในร้านแห่งหนึ่งในห้างกาดสวนแก้ว โดยชาวเน็ตได้ออกมาเผยประวัติว่าผู้ก่อเหตุเป็นเน็ตไอดอล และมีเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นหลายๆ ที่ ตามด้วยต้นสังกัดที่ออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าวและยกเลิกสัญญา ในวันเดียวกันกับที่ฆ่าตัวตายนั้น เป็นวันที่ผู้เสียชีวิตจะต้องไปขึ้นศาลจากคดีดังกล่าว และมีการโพสต์อีโมจิหน้ายิ้มเป็นโพสต์สุดท้ายก่อนจะลงมือก่อเหตุ
สาวโดนอดีตแฟนชก-กัด หน้าร้านสะดวกซื้อ ไร้คนช่วย ฝ่ายชายอ้างชกเพราะรัก
เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.) น.ส.รมิดา (สงวนนามสกุล) ได้ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ทีวีถึงกรณีคลิปวีดิโอที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Pair Chirawat Laochai เผยแพร่ภาพตนโดนชายคนหนึ่งทำร้ายหน้าร้านสะดวกซื้อ วัดดอนดำรงธรรม จ.ชลบุรี โดยฝ่ายชายได้พยายามลากตนไปขึ้นรถจักรยานยนต์ แต่ตนขัดขืนและถูกฝ่ายชายชกต่อยและกัดต่อหน้าชาวบ้านหลายคนจนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชียลเมื่อไม่นานมานี้นั้น ว่าชายคนดังกล่าวเป็นแฟนเก่าของตน แต่เลิกกันไปแล้ว และเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะตนไม่ยอมกลับไปที่ห้องด้วย
โดยน.ส.รมิดาเล่าว่าตนเลิกกับแฟนเก่าคนนี้มาตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังคบกันมา 1 ปี เพราะปรับตัวเข้ากันไม่ได้ ตนยืนยันว่าตลอดเวลาที่คบกันมา 1 ปี ฝ่ายชายมีนิสัยขี้หึงเป็นอย่างมาก แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีเรื่องของมือที่สามแน่นอน และยอมรับว่าที่ผ่านมาก็โดนทำร้ายร่างกายบ้างเหมือนกัน
น.ส.รมิดาได้แจ้งความไว้ และมีนัดไกล่เกลี่ยวันนี้ (11 มิ.ย.) ส่วนฝ่ายชาย หลังจากถูกจับกุมและได้พูดคุยกันก็พูดเพียงแต่ขอโทษ และทำไปเพราะเมาขาดสติ ส่วนอาการบาดเจ็บของตนนั้นมีรอยเขียวช้ำตามแขนซ้ายและรอยกัดที่หลังด้านซ้าย และรู้สึกจุกอกอย่างบอกไม่ถูก เพราะตอนนั้นกลัวมาก แต่ขอความช่วยเหลือใครก็ไม่มีใครช่วย เพราะทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องผัว-เมียทะเลาะกัน
ด้านแม่ของเหยื่อเล่าว่าเกือบเป็นลมเมื่อได้รับข่าวว่าลูกถูกทำร้าย และบอกว่าตั้งแต่เลี้ยงมาไม่เคยตบตีลูกแบบนี้ ส่วนฝ่ายชายที่ทำร้ายลูกสาวพูดเพียงว่า ขอโทษ ที่ทำไปเพราะรัก ซึ่งตนก็ตอกกลับไปว่าคนรักกันเขาทำอย่างนี้หรือ โดยขณะนี้ตำรวจกำลังไกล่เกลี่ยค่าเสียหาย จำนวน 5,000 บาท ซึ่งฝ่ายชายบอกว่าไม่มี ทั้งนี้ ผู้เป็นแม่บอกว่าจะไม่ให้ลูกสาวติดต่อกับฝ่ายชายอีก ให้เลิกกันไปเลย และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นอกจากนี้ เพื่อนของลูกสาวยังเคยเล่าให้ตนเองฟังว่าฝ่ายชายเคยโพสต์ข้อความขู่ว่า “ถ้ากูเจอมึง กูจะเอาให้ถึงตาย” ตนจึงพยายามเตือนลูกสาวตลอด แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำ จนกระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้
ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าที่ไม่มีใครกล้าเข้าช่วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายชายมีอาวุธหรือไม่และด้วยคิดว่าเป็นเรื่องของสามีภรรยา ตนเองก็ต้องระวังเช่นกันและคาดว่าสาเหตุอาจจะมาจากการหึงหวงเพราะได้ยินว่าเถยงกันเรื่องนี้ โดยตนได้ไปดักฝ่ายชายไว้ตอนจะขี่รถจักรยานยนต์ออกไป แต่ฝ่ายชายโมโหจึงอุ้มผู้หญิงกลับขึ้นไปบนหอพักบริเวณนั้น ชาวบ้านจึงโทร. ให้ตำรวจมาช่วยระงับเหตุ